นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรทยอยยุติมาตรการควบคุมครั้งล่าสุด เพื่อตัดวงจรการแพร่ระบาดของโควิด-19 แม้เชื้อ “โอมิครอน” ยังคงแพร่ระบาดอย่างหนัก
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 20 ม.ค. ว่า นายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน แถลงเมื่อวันพุธที่ผ่านมาว่า มาตรการวบคุมทางสังคมและสาธารณสุขครั้งใหม่ ที่ประกาศเมื่อเดือน ธ.ค.ปีที่แล้ว เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนากลายพันธุ์ โอมิครอน จะทยอยยุติ โดยการบังคับสวมหน้ากากอนามัยภายในห้องเรียน สำหรับนักเรียนมัธยม “ไม่จำเป็นอีกต่อไป” ตั้งแต่วันที่ 20 ม.ค.
ขณะที่มาตรการบังคับสวมหน้ากากอนามัยภายในสถานที่สาธารณะแบบปิด ให้ยุติตั้งแต่วันที่ 27 ม.ค. นี้ แนวทางการทำงานที่บ้านให้ยุติได้ และมาตรการต้องแสดง “บัตรผ่านวัคซีน” ก่อนเข้าใช้บริการสถานที่สาธารณะขนาดใหญ่ และสถานบันเทิงยามราตรี “ไม่เป็นข้อบังคับอีกต่อไป” แต่มาตรการกักตัวซึ่งถือว่ามีผลผูกพันในทางกฎหมาย หากมีผลตรวจคัดกรองเป็นบวก ยังคงมีผลบังคับใช้ต่อไป
ทั้งนี้ จอห์นสันกล่าวต่อที่ประชุมสภาสามัญ ว่าหลายประเทศในยุโรปยกระดับมาตรการควบคุม โดยบางประเทศถึงขั้นล็อกดาวน์ แต่สหราขอาณาจักรเลือกเดินทางที่แตกต่าง ซึ่งอ้างอิงจากสถิติผู้ป่วยหนักในโรงพยาบาลที่ลดลง และอัตราการฉีดวัคซีนเข็มสามหรือเข็มกระตุ้น ซึ่งเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม บรรดาผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ออกมาเตือนเป็นเสียงเดียวกัน ว่าสถานการณ์ในสหราชอาณาจักรจะกลับมาวิกฤติอีก หากปล่อยให้ประชาชน “กลับมาปฏิบัติตัวตามปกติ” ในระดับที่ “เร็วเกินไป” ยิ่งไปกว่านั้น เชื้อโอมิครอนยังคงแพร่ระบาดในระดับที่เข้มข้น
ปัจจุบัน สหราชอาณาจักรมีสถิติผู้ป่วยโควิต-19 สะสมมากกว่า 15.5 ล้านคน เพิ่มขึ้น 108,069 คน เสียชีวิตสะสมอย่างน้อย 152,872 ราย เพิ่มขึ้น 359 ราย ประชากรมากกว่า 90% ได้รับวัคซีนเข็มแรกแล้ว 83.5% ได้รับวัคซีนแล้วสองเข็ม และการฉีดวัคซีนเข็มที่สามครอบคลุมประชากรเกือบ 64%
อ้างอิง